spot_img
spot_imgspot_img
spot_imgspot_img
spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

เรียนรู้ถึง : สารเคมีอันตราย แนวทางการปฏิบัติงาน จัดเก็บ และ ป้องกัน

สารเคมีอันตราย

สารเคมีอันตราย คือ

สารที่มีฤทธิ์ทำลายเนื้อเยื่อของมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ถ้าไม่ถูกใช้ในทางที่ถูกต้องและปลอดภัย เช่นการใช้เป็นสารเคมีเพื่อป้องกันและกำจัดแมลงพวกหนอน การใช้เป็นสารเคมีในการผลิตเครื่องมือ หรือเทคโนโลยีทางการแพทย์ ซึ่งสารเคมีอันตรายสามารถเข้ามาอยู่ในร่างกายของมนุษย์ผ่านทางการสัมผัส การหายใจ การรับประทานอาหาร หรือแม้แต่การสัมผัสผิวหนังเป็นต้น

การใช้สารเคมีอันตรายไม่ถูกต้อง หรือการใช้ไปเกินปริมาณที่เหมาะสมอาจจะทำให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของมนุษย์ได้ เช่น การใช้สารเคมีแบบไม่ปลอดภัยสามารถเกิดพิษของสารเคมีเข้าสู่ร่างกายได้ ทำให้เกิดผลกระทบต่อระบบประสาท หรือเกิดปัญหาเรื้อรังในระยะยาว อย่างไรก็ตาม สารเคมีก็เป็นสิ่งจำเป็นต่อการดำเนินชีวิตในยุคปัจจุบัน แต่การใช้งานจะต้องมีการคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของมนุษย์ด้วย

 กฎหมาย : กฎกระทรวง กําหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดําเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางานเกี่ยวกับสารเคมีอันตราย พ.ศ. 2556 

จัดเก็บสารเคมีอันตราย

จัดเก็บสารเคมีอันตรายอย่างไร

เป็นเรื่องที่สำคัญมากในการป้องกันอันตรายและความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น การจัดเก็บสารเคมีอันตรายต้องปฏิบัติตามมาตรฐานและกฎระเบียบที่เหมาะสม เพื่อความปลอดภัยของมนุษย์และสิ่งแวดล้อม ดังนั้น ในบทความนี้จะพูดถึงการจัดเก็บสารเคมีอันตรายเพื่อเพิ่มความเข้าใจในการปฏิบัติตามมาตรฐานในการจัดเก็บสารเคมีอันตรายให้เหมาะสม

การจัดเก็บสารเคมีอันตรายต้องมีการวางแผนก่อนทำการจัดเก็บ โดยจะต้องเลือกสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับการจัดเก็บ โดยสถานที่จะต้องมีการป้องกันการรั่วไหล และเป็นสถานที่ที่สะอาดและสามารถเข้าถึงได้ง่าย เช่น โรงงานผลิตสารเคมีจะต้องมีการจัดเก็บสารเคมีในโรงเรือนที่มีระบบรั่วไหลที่ดีและมีการระบายอากาศที่เหมาะสม

นอกจากนี้ การจัดเก็บสารเคมีอันตรายจะต้องมีการทำลายสารเคมีเมื่อไม่จำเป็น โดยจะต้องทำการกำจัดสารเคมีอันตรายอย่างถูกต้อง เช่น การทำลายสารเคมีโดยการเผาไหม้ หรือใช้กระบวนการสกัดสารเคมีแบบปลอดภัยรวมถึงการตรวจสอบและบันทึกข้อมูลสารเคมีอันตรายอย่างเหมาะสม

การตรวจสอบสารเคมีอันตรายจะช่วยให้ผู้ใช้สารเคมีทราบถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และสามารถตัดสินใจในการจัดเก็บสารเคมีอย่างเหมาะสมได้ โดยเราจะต้องเก็บบันทึกข้อมูลของสารเคมีอันตรายอย่างถูกต้อง และมีความครบถ้วนเพื่อให้เกิดความมั่นใจและปลอดภัยสูงสุด

การจัดเก็บสารเคมีอันตรายยังต้องมีการเลือกบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมสำหรับสารเคมีนั้น โดยจะต้องเลือกบรรจุภัณฑ์ที่มีความแข็งแรง และมีความปลอดภัยเพียงพอเมื่อเก็บรักษาสารเคมีอันตราย เช่น สารเคมีที่มีความเป็นก๊าซ ต้องเก็บในถังที่สามารถรักษาความดันได้ เพื่อป้องกันการรั่วไหลและอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้

ในการจัดเก็บสารเคมีอันตรายอย่างมีประสิทธิภาพ จะต้องมีการจัดเก็บตามหลักการควบคุมสารเคมีอันตรายของรัฐ และเพื่อให้การจัดเก็บสารเคมีอันตรายเป็นไปอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสูงสุด ควรมีการฝึกอบรสารเคมีให้กับพนักงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มความเข้าใจในการจัดเก็บสารเคมีอันตรายตามที่กฎหมายกำหนด

การตรวจวัดสารเคมีอันตราย

การตรวจวัดระดับความเข้มข้นของสารเคมีอันตรายคืออะไร

การตรวจวัด คือ การเก็บตัวอย่างของสารเคมีอันตรายในบรรยากาศของสถานที่ทำงานและสถานที่เก็บรักษาสารเคมีอันตรายเพื่อนำมาวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการ เพื่อดูว่าระดับความเข้มข้นของสารเคมีอันตรายในบรรยากาศของสถานที่ทำงานหรือสถานที่เก็บรักษาสารเคมีอันตรายนั้นมีระดับความเข้มข้นอยู่ที่เท่าไหร่เกินขีดจำกัดตามที่กฎหมายกำหนดหรือไม่

ซึ่งเมื่อได้ผลการวิเคราะห์ออกมาแล้วจะต้องนำมาเทียบกับขีดจำกัดความเข้มข้นของสารเคมีอันตราย ซึ่งกำหนดไว้ในประกาศกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เรื่อง ขีดจำกัดความเข้มข้นของสารเคมีอันตราย ซึ่งหากเกินขีดจำกัดที่กำหนดไว้จะต้องใช้มาตรการกำจัดหรือควบคุมสารเคมีอันตรายทางวิศวกรรมหรือการบริหารจัดการสภาพแวดล้อมเพื่อลดระดับความเข้มข้นของสารเคมีอันตรายไม่ให้เกินขีดจำกัดโดยทันที

การตรวจวัดและวิเคราะห์ระดับความเข้มข้นของสารเคมีอันตรายในบรรยากาศของสถานที่ทำงานและสถานที่เก็บรักษาสารเคมีอันตรายมีความถี่ในการดำเนินการดังนี้

  • ต้องทำอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง 
  • กรณีที่ผลการตรวจสุขภาพของลูกจ้างผิดปกติหรือเจ็บป่วยจากการทำงานกับสารเคมีอันตราย ต้องตรวจวัดและวิเคราะห์ระดับความเข้มข้นของสารเคมีอันตรายภายใน 30 วันหลังจากทราบผลความผิดปกติหรือเจ็บป่วย
  • กรณีที่มีการปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลง ชนิด หรือปริมาณสารเคมีอันตราย เครื่องจักร อุปกรณ์ กระบวนการผลิต วิธีการทำงาน หรือวิธีการดำเนินการใดๆ ที่อาจมีผลต่อระดับความเข้มข้นของสารเคมีอันตราย ต้องตรวจวัดและวิเคราะห์ระดับความเข้มข้นของสารเคมีอันตรายภายใน 30 วันนับจากวันที่มีการปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลง
  • กรณีที่ระดับความเข้มข้นของสารเคมีอันตรายเกินขีดจำกัด แล้วดำเนินการแก้ไขปรับปรุงทางด้านวิศวกรรมหรือบริหารจัดการสภาพแวดล้อมในการทำงานเพื่อลดระดับความเข้มข้นของสารเคมี ต้องตรวจวัดและวิเคราะห์ระดับความเข้มข้นของสารเคมีอันตรายภายใน 30 วันนับจากวันที่มีการปรับปรุงแก้ไขเสร็จ

มาตรฐานทางห้องปฏิบัติการ

การตรวจวัดและวิเคราะห์สารเคมีอันตรายทางห้องปฏิบัติการ ต้องใช้วิธีการ เครื่องมือ และอุปกรณ์ที่เป็นมาตรฐานสากลหรือเป็นที่ยอมรับโดยอ้างอิงวิธีการจากหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง ดังนี้

  • สถาบันความปลอดภัยและอาชีวอนามัยแห่งชาติ ประเทศสหรัฐอเมริกา (The National Institute forOccupational Safety and Health: NIOSH)
  • สํานักงานบริหารความปลอดภัยและอาชีวอนามัย ประเทศสหรัฐอเมริกา (Occupational Safety and HealthAdministration: OSHA)
  • สมาคมนักสุขศาสตร์อุตสาหกรรมภาครัฐ ประเทศสหรัฐอเมริกา (American Conference of GovernmentalIndustrial Hygienists: ACGIH)
  • สมาคมความปลอดภัยและสุขภาพอนามัยในอุตสาหกรรม ประเทศญี่ปุ่น (Japan Industrial Safety and HealthAssociation: JISHA)
  • องค์การระหว่างประเทศว่าด้วยการมาตรฐาน (International Organization for Standardization: ISO) 
  • สํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) 
  • สมาคมการทดสอบและวัสดุอเมริกัน (American Society for Testing and Materials: ASTM) ซึ่งเครื่องมือที่นำมาตรวจวัดจะต้องทำการสอบเทียบตามมาตรฐานที่กำหนดเพื่อให้พร้อมสำหรับการใช้งานอยู่เสมอ

การรายงานผลการตรวจวัดและวิเคราะห์ระดับความเข้มข้นของสารเคมีอันตราย

เมื่อดำเนินการตรวจวัดระดับความเข้มข้นของสารเคมีอันตรายในบรรยากาศของสถานที่ทำงานและสถานที่เก็บรักษาสารเคมีอันตรายแล้ว จะต้องรายงานผลการตรวจวัดและวิเคราะห์ระดับความเข้มข้นของสารเคมีอันตราย ตามแบบ สอ.3 และส่งรายงานภายใน 15 วันนับจากวันที่ทราบผล ซึ่งรายงานดังกล่าวจะต้องได้รับการรับรองรายงานจากผู้ดำเนินการตรวจวัดและผู้ดำเนินการวิเคราะห์สารเคมีอันตรายทางห้องฏิบัติการ

คุณสมบัติผู้ดำเนินการตรวจวัดและตรวจวิเคราะห์สารเคมีอันตราย

ผู้ดําเนินการตรวจวัดต้องมีวุฒิการศึกษาไม่ต่ำกว่าระดับปริญญาตรีทางวิทยาศาสตร์ สาขาเคมี สาขาเคมีเทคนิค สาขาเคมีวิเคราะห์ สาขาเคมีอินทรีย์ สาขาเคมีอนินทรีย์ สาขาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม สาขาอนามัยสิ่งแวดล้อม หรือปริญญาตรีสาขาอาชีวอนามัยหรือเทียบเท่า หรือปริญญาตรีทางวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมสิ่งแวดล้อม

ผู้ดําเนินการตรวจวิเคราะห์สารเคมีอันตรายทางห้องปฏิบัติการ ต้องมีคุณสมบัติอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้

  • มีวุฒิการศึกษาไม่ต่ำกว่าระดับปริญญาตรีทางวิทยาศาสตร์ สาขาเคมี สาขาเคมีเทคนิค สาขาเคมีวิเคราะห์สาขาเคมีอินทรีย์ สาขาเคมีอนินทรีย์ สาขาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม สาขาอนามัยสิ่งแวดล้อม หรือปริญญาตรีสาขาอาชีวอนามัยหรือเทียบเท่า
  • มีวุฒิการศึกษาไม่ต่ำกว่าระดับปริญญาตรีทางวิทยาศาสตร์สาขาอื่นที่มีวิชาเรียนทางด้านเคมีไม่น้อยกว่า 12หน่วยกิต และมีประสบการณ์วิเคราะห์สารเคมีอันตรายทางห้องปฏิบัติการเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 2 ปี
  • เป็นผู้ที่ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรนักวิเคราะห์มืออาชีพสาขาเคมีของกรมวิทยาศาสตร์บริการ หรือเป็นผู้ควบคุมดูแลห้องปฏิบัติการวิเคราะห์ซึ่งได้ขึ้นทะเบียนกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม หรือเป็นผู้ได้รับใบประกอบวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีควบคุมตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

การตรวจวัดระดับความเข้มข้นของสารเคมีอันตรายต้องตรวจวัดอย่างน้อยปีละ 1 ครั้งเพื่อเป็นการติดตามและเฝ้าระวังทางด้านสุขภาพของผู้ปฏิบัติงานหากพบว่าระดับความเข้มข้นของสารเคมีอันตรายในบรรยากาศในสถานที่ทำงานหรือสถานที่เก็บสารเคมีอันตรายเกินมาตรฐานกำหนดต้องรีบดำเนินการแก้ไขเพื่อลดระดับความเข้มข้นของสารเคมีอันตรายลง

ต้องตรวจสุขภาพผู้ปฏิบัติงานกับสารเคมีอันตรายอย่างน้อยปีละ 1 ครั้งเพื่อเฝ้าระวังทางด้านสุขภาพของผู้ปฏิบัติงานหากพบว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นจะได้รีบแก้ไขได้ทันที

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง

  1. กฎกระทรวงกําหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดําเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางานเกี่ยวกับสารเคมีอันตราย พ.ศ. 2556
  2. ประกาศกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เรื่อง บัญชีรายชื่อสารเคมีอันตราย
  3. ประกาศกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เรื่อง ขีดจำกัดความเข้มข้นของสารเคมีอันตราย

ppe ทำงานกับสารเคมี

อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล Personal Protective Equipment ที่ทำงานกับสารเคมี มีอะไรบ้าง

เมื่อทำงานกับสารเคมี สิ่งสำคัญคือต้องใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) ที่เหมาะสมเพื่อป้องกันการสัมผัสและป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น ต่อไปนี้คือตัวอย่างบางส่วนของอุปกรณ์ PPE ที่ทำงานร่วมกับสารเคมี:

ถุงมือกันสารเคมี: ถุงมือนี้ออกแบบมาเพื่อป้องกันมือจากสารเคมี ตัวทำละลาย และสารอันตรายอื่นๆ มีจำหน่ายในวัสดุหลายประเภท เช่น ไนไตรล์ นีโอพรีน ลาเท็กซ์ และพีวีซี

เสื้อผ้าที่ทนต่อสารเคมี: เสื้อผ้าประเภทนี้ทำจากวัสดุที่ป้องกันการกระเด็นของสารเคมี อาจรวมถึงผ้ากันเปื้อน เสื้อกาวน์ เสื้อคลุม และชุดป้องกันประเภทอื่นๆ

การป้องกันดวงตาและใบหน้า: แว่นตานิรภัย แว่นตานิรภัย และกระบังหน้าช่วยปกป้องดวงตาและใบหน้าจากการกระเด็นของสารเคมีและควัน ได้รับการออกแบบมาให้สวมใส่ได้พอดีและป้องกันไม่ให้สารเคมีสัมผัสกับดวงตาและผิวหนัง

เครื่องช่วยหายใจ: เมื่อทำงานกับสารเคมีอันตราย อาจจำเป็นต้องใช้เครื่องช่วยหายใจเพื่อป้องกันปอดและระบบทางเดินหายใจ เครื่องช่วยหายใจกรองอากาศและป้องกันการสูดดมสารเคมีอันตราย

รองเท้ากันสารเคมี: รองเท้าบูทหรือรองเท้าที่ทำจากวัสดุกันสารเคมีเป็นสิ่งสำคัญในการปกป้องเท้าจากสารเคมีอันตรายหรือการหกใส่

โปรดทราบว่าประเภทของ PPE ที่จำเป็นจะขึ้นอยู่กับสารเคมีเฉพาะที่ใช้และระดับของการสัมผัส นายจ้างควรจัดหา PPE ที่เหมาะสมให้กับพนักงาน ตรวจสอบให้แน่ใจว่าใช้อย่างถูกต้อง และดำเนินการฝึกอบรมเพื่อให้แน่ใจว่าพนักงานเข้าใจถึงความสำคัญของ PPE เมื่อทำงานกับสารเคมี

เกี่ยวกับลิขสิทธิ์ :
* สงวนลิขสิทธิ์ทุกเนื้อหา และ ภาพประกอบของ Jorportoday สามารถนำไปเผยแพร่ได้เพื่อประโยชน์สาธารณะ ไม่ใช่เชิงพาณิชย์

** กรณีมีการคัดลอกบทความของเราไปส่วนใดส่วนหนึ่ง โปรดติดลิงค์กลับมาที่หน้านี้เพื่อให้เครดิตกับเรา

Similar Articles

Special advertising

spot_img

Special Ads

spot_img

Ads.1

spot_img

Ads.3

spot_img

Ads.4

spot_img
spot_img

Ads.5

spot_img

Most Popular