30 เมษายน 2567
บริเวณโรงแรมดิ อิมพีเรียล โฮเทล แอนด์ คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ โคราช ถนนสุรนารายณ์ อำเภอเมืองนครราชสีมา นายสมชาย วรรธนะสุพร นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเมืองคง (อบต.เมืองค.) อ.คง จ.นครราชสีมา จัดการประชุมกลุ่มการจัดการขยะมูลฝอย (cluster) ในพื้นที่นครราชสีมาตอนบน โดยมีผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จำนวน 129 แห่ง เข้าร่วมประชุม เพื่อปรับปรุงข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อสร้างโรงไฟฟ้ากำจัดขยะมูลฝอยชุมชนในพื้นที่ โดยมีงบประมาณกว่า 1,800 ล้านบาท โครงการได้รับการยินยอมจากกระทรวงมหาดไทย ให้จัดหาเอกชนมาลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้ากำจัดขยะมูลฝอยในพื้นที่ แต่กลับพบว่ามีการประท้วงจากกลุ่มชุมชนในพื้นที่ต่างๆ
กังวลผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม
พ.ต.อ.ดำรงศิลป์ ดวงกลาง ข้าราชการตำรวจบำนาญ ผู้นำคนโคราช ทำหน้าที่เป็นแกนนำในการประท้วง พร้อมทั้งชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่ตั้งโรงงาน พากันรวมตัวเพื่อคัดค้านโครงการดังกล่าว เพราะกังวลปัญหาที่อาจเกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของชุมชนท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม การดำเนินโครงการก็ได้รับการสนับสนุนจากองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ชาวบ้านกว่า 100 คน ไม่เห็นด้วยกับการสร้างโรงไฟฟ้าขยะ
การประชุมจัดการขยะมูลฝอยเริ่มเห็นความขัดแย้งจากกลุ่มชุมชนในพื้นที่ มีการขัดขวางไม่ให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าพื้นที่โดยเด็ดขาด มีการใช้เหล็กกั้นทางเข้าและทางเดินมาถึงสถานที่ ชาวบ้านกว่า 100 คน ที่ออกมาคัดค้านในครั้งนี้ ต่างพากันโห่ร้องไม่เอาโรงไฟฟ้าขยะ
พ.ต.อ.ดำรงศิลป์ ดวงกลาง กล่าวว่า โรงงานตั้งอยู่ใกล้ชุมชนและแหล่งน้ำ กลัวจะเกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ อาจจะเกิดปัญหาน้ำเสีย กลิ่นเหม็น พร้อมทั้งมลพิษทางอากาศ เคยร้องขอให้ไปสร้างโรงไฟฟ้าที่อื่นแต่ไม่เป็นผล จึงต้องมารวมตัวกันยื่นหนังสือกับ ผวจ.นครราชสีมา และ รมว.มหาดไทย รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากผู้มีอำนาจไม่ยอมฟังความต้องการของชาวบ้านและยังอนุญาตให้สร้างโรงไฟฟ้าต่อ
ในวันที่ 24 พฤษภาคม ได้จัดประชาพิจารณ์ที่ อบต.เมืองคง แต่ไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ เนื่องจากมีการคัดค้านจากกลุ่มชุมชนในพื้นที่ ต่อมา โครงการก็ถูกย้ายมาที่ตำบลพะงาด อำเภอขามสะแกแสง และได้มีการจัดประชุม เพื่อรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสีย โดยมีชาวบ้านมากกว่า 1,000 คน ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับโครงงานนี้ แต่กลับมีการปิดไมโครโฟน ชาวบ้านจึงพากันลุกโห่ และชูป้ายประท้วง ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจและอาสาสมัครรักษาดินแดน (อส.) จึงพยายามห้ามปราม และขอให้กลุ่มผู้ประท้วงออกจากหอประชุม ให้เหลือเพียงชาวบ้าน 200-300 คน อ้างเป็นผู้ที่เกี่ยวข้อง เพราะมีบ้านพักในรัศมีไม่เกิน 3 กิโลเมตร ยกมือเห็นชอบให้ดำเนินโครงการ
อย่างไรก็ตาม โครงการดังกล่าวเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องให้การพิจารณาความเห็นของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะในเรื่องของผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสุขภาพของชุมชน ทั้งนี้ การรับฟังความคิดเห็นและการเปิดโอกาสให้กับทุกฝ่ายจะเป็นพื้นฐานสำคัญในการดำเนินการต่อไป เพื่อให้สามารถค้นหาแนวทาง และวิธีการที่เหมาะสมที่สุดในการจัดการขยะมูลฝอยในพื้นที่อย่างยั่งยืน
สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.koratdaily.com/blog.php?id=16705
