ในรอบหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเผชิญกับปัญหาอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในที่อับอากาศอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ได้ทำให้คนงานสูญเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก โดยอุบัติเหตุการทำงานในที่อับอากาศมีให้พบข่าวอยู่มากไม่ว่าจะเป็นต่างประเทศและในประเทศซึ่งมีตัวอย่างดังนี้
อุบัติเหตุที่อับอากาศในต่างประเทศ
ระหว่างเดือนพฤษภาคมปี 2010 มีเหตุระเบิดเกิดขึ้นในเหมืองถ่านหินในประเทศตุรกี ที่เป็นเหตุให้คนงาน 28 คนเสียชีวิตในอุโมงค์ใต้ดินที่ลึกลง 540 เมตร และคนงานบางส่วนต้องติดอยู่ในอุโมงค์นานหลายสัปดาห์ก่อนที่จะได้รับการช่วยเหลือ
ล่าสุดในต้นเดือนนี้ เกิดน้ำท่วมเหมืองถ่านหินในมณฑลหูหนาน ทำให้แรงงานเหมืองติดอยู่ใต้ดิน 16 คน และต้องใช้เวลานานหลายวันกว่าจะสามารถช่วยคนงานขึ้นมาจากอุโมงค์ได้อย่างปลอดภัย ตามมาด้วยเหตุการณ์แก๊สระเบิดที่เกิดในเหมือง ซึ่งเหตุนี้ทำให้คนงานอีก 7 รายสูญเสียชีวิต
ในขณะเดียวกันก็เกิดเหตุ นายจ้างและคนงานในประเทศจีนก็ต้องเผชิญกับเหตุการณ์เหมืองระเบิดอยู่บ่อยครั้ง โดยคนงานจีนมีจำนวนคนสูญเสียชีวิตจากเหตุการณ์เหมืองระเบิดและติดอยู่ในอุโมงค์ใต้เหมืองมากถึง 16,810 คนในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา สถานการณ์นี้ทำให้เรื่องความปลอดภัยในการทำงานในสถานที่อับอากาศเป็นปัญหาสำคัญในทั้งสองประเทศ
อุบัติเหตุที่อับอากาศในไทย
ในประเทศไทยเองก็ไม่ขาดเหตุการณ์ที่ทำให้คนงานต้องเผชิญกับความเสี่ยงในสถานที่อับอากาศ ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมามีรายงานการเสียชีวิตจากการทำงานในที่อับอากาศเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในหลากหลายสถานที่ ดังนี้ :
- คนงานในไร่ข้าวโพดตายในช่องสายพานลำเลียงข้าวโพด เพราะลงไปอยู่ในที่อับที่มีแก๊สไฮโดรเจนซัลไฟด์
- นักเรียนช่างผีมือทหาร 3 คน เสียชีวิตคาบ่อจำลองฝึกปฏิบัติการเชื่อมตัดท่อใต้น้ำลึก 6 เมตร
- ลูกเรือประมงจำนวน 5 คนในจังหวัดสตูลตายปริศนาหลังลงไปทํางานในห้องเก็บปลาใต้ท้องเรือ
- และรวมถึงคนงานที่มีหน้าที่ต้องลงไปทำงานในที่อับอากาศไม่ว่าจะเป็น อุโมงค์ ถ้ำ บ่อ หลุม ห้องใต้ดิน ห้องนิรภัย ถังน้ำมัน ถังหมัก ไซโล ท่อ เตา
โดยเหตุการณ์ทั้งหมดที่กล่าวมานี้มีการสูญเสียชีวิตปีละไม่ต่ำกว่า 150 ราย
อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในสถานที่อับอากาศจึงเป็นเรื่องที่ทำให้สังคมต้องให้ความสนใจและระมัดระวังกันอย่างจริงจัง จากข้อมูลที่ได้มาก็แสดงให้เห็นว่ามาตรฐานในการทำงานในที่อับอากาศยังคงขาดเครื่องมือและการฝึกฝนที่เพียงพอไม่พอ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ควรได้รับความสนใจเพิ่มเติม เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในอนาคต
พญ.วิลาวัณย์ จึงประเสริฐ อธิบดีกรมการแพทย์ ได้กล่าวว่า การเสียชีวิตและบาดเจ็บจากการทำงานในที่อับอากาศต้องเป็นปัญหาที่ควรระมัดระวัง และบุคคลที่ต้องการทำงานในสถานที่ดังกล่าวควรระมัดระวังและประมาณความเสี่ยงของตนเองก่อนที่จะเริ่มทำงาน เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เดิมๆขึ้นอีก
อีกทั้งยังได้กล่าวถึงความจำเป็นในการปรับปรุงมาตรฐานและการฝึกฝน เพื่อเพิ่มความตระหนักและความรู้ให้กับนายจ้างและคนงานเกี่ยวกับความเสี่ยงในการทำงานในสถานที่อับอากาศ เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุในอนาคต
ข้อกำหนดมาตรฐานในการทํางาน ในที่อับอากาศ
ซึ่งในกฎกระทรวงดังกล่าวระบุชัดว่า ที่อับอากาศหมายถึง สถานที่ที่มีอากาศหรือออกซิเจนสำหรับหายใจน้อยกว่า 19.6% มีก๊าซไอละอองที่ติดไฟหรือระเบิดได้เกิน 10% ของค่าความเข้มข้นขั้นต่ำของสารเคมีแต่ละชนิดในอากาศที่อาจติดไฟหรือระเบิดได้ ที่เรียกว่า Lower Flammable Limit หรือ Lower Explosive Limit มีฝุ่นที่ติดไฟหรือระเบิดได้ มีค่าความเข้มข้นของสารเคมีแต่ละชนิดเกินมาตรฐานที่กําหนด หรือมีสภาวะอื่นใดที่อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายหรือชีวิต เหล่านี้ นายจ้างต้องมีป้ายติดประกาศให้รู้ และถ้าเป็นที่ที่อันตรายมากๆต้องมีการกำหนดระยะเวลาในการเข้าไป เพื่อป้องกันการขาดอากาศ
โดยเรื่องนี้มีกฎกระทรวงกําหนดมาตรฐานในการ บริหารและการจัดการด้านความปลอดภัยอาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางาน ในที่อับอากาศไว้อย่างชัดเจน ภายใต้ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานที่ทั้งนายจ้างและลูกจ้างต้องถือปฏิบัติร่วมกัน เช่น หากต้องมีการทำงานในที่ที่มีทางเข้า-ออกแคบ มีการระบายอากาศไม่เพียงพอ ทั้งลูกจ้างและนายจ้างต้องเตรียมอุปกรณ์ช่วยชีวิตไว้ให้พร้อม
ข้อกำหนดตามข้อจำกัดสำหรับบุคคล
นอกจากนี้ทางด้านปฏิบัติ ยังมีข้อกำหนดเรื่องสุขภาพของผู้ปฏิบัติงานในที่อับอากาศ หากผู้ปฏิบัติมีโรคดังต่อไปนี้ห้ามลงปฏิบัติงานโดยเด็ดขาด เนื่องจากมีความเสี่ยงกว่าคนปกติหลายเท่า
- ผู้ที่มีร่างกายอ้วนมาก
- ใส่เครื่องช่วยหายใจ (respirator) มีประวัติเป็นโรคลมชัก โรคหอบหืด
- โรคกลัวที่แคบหรือความมืด
- มีความดันโลหิตสูงมากกว่า 160/90
- ป่วยเป็นไข้หวัด ติดเชื้อในปอด ปอดอุดตัน มีน้ำในปอด
- ตรวจคลื่นหัวใจและมีลักษณะหัวใจขาดเลือดในขณะนั้น หรือเคยมีกล้ามเนื้อหัวใจตาย
- สมรรถภาพทางการได้ยินเสียจากปานกลางถึงมาก และสมรรถภาพทางตาเสียมาก
อาการขาดอากาศหายใจเป็นอย่างไร?
อาการเสี่ยงต่อการเสียชีวิตหรือขาดอากาศหายใจในการทำงานในที่อับอากาศจะเริ่มจากการหายใจเร็ว หัวใจเต้นเร็ว ปวดศีรษะ กล้ามเนื้ออ่อนแรง คลื่นไส้ อาเจียน และถ้ามีอาการเช่นนี้ ต้องรีบออกมาจากสถานที่บริเวณนั้นโดยเร็ว เพราะถ้าปล่อยทิ้งไว้อาจจะทำให้หมดสติ กล้ามเนื้อหัวใจเกร็ง ชัก และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาที
ติดต่อปัญหาในการทำงานในที่อับอากาศ
สำหรับผู้ที่สนใจหรือมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการทำงานในสถานที่อับอากาศ สามารถติดต่อหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กลุ่มศูนย์การแพทย์เฉพาะทางด้านอาชีวเวชศาสตร์และเวชศาสตร์สิ่งแวดล้อม โรงพยาบาลนพรัตนราชธานี โทร. 0–2517–4333 สามารถติดต่อได้ในเวลาราชการเพื่อรับคำปรึกษาและคำแนะนำในการป้องกันและรับมือกับความเสี่ยงในการทำงานในสถานที่อับอากาศอย่างเหมาะสม
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.thairath.co.th/content/280915