อาการปวดหลังเป็นเรื่องที่พบได้ทั่วไป ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ตั้งแต่อายุประมาณ 30 ปีขึ้นไป สาเหตุหลักของอาการปวดหลัง มักเกิดจากการทำงานที่ต้องนั่งหรือยืนเป็นเวลานาน ทำให้กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นในบริเวณหลังขาดการเคลื่อนไหวอย่างเพียงพอ ซึ่งอาการเหล่านี้มักจะไม่เป็นอันตราย
สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดหลัง
1. การเสื่อมของข้อกระดูกสันหลัง เกิดได้ตั้งแต่อายุพึงประมาณ 30-40 ปี เริ่มต้นด้วยการเคลื่อนไหวของหมอนรองกระดูกสันหลังที่เบียดทับเส้นประสาท หรือโพรงเส้นประสาทข้อกระดูกสันหลังตีบ แคบเบียดทับเส้นประสาทในผู้สูงอายุ 60-70 ปีขึ้นไป
2. การติดเชื้อของกระดูกสันหลัง
3. มะเร็งกระจายมาที่กระดูกสันหลัง
4. โรคข้ออักเสบ เช่น โรคเอสแอลอี หรือโรคข้ออักเสบติดแข็ง
ส่วนตำแหน่งที่พบอาการปวดหลังบ่อยที่สุด คือ บริเวณกระดูกต้นคอ และบริเวณหลังส่วนเอว เนื่องจากการใช้งานปกติของร่างกายจะมีการขยับในบริเวณดังกล่าว และอาการปวดหลังที่เกิดจากโรคต่างๆ มักจะมีลักษณะอาการที่เฉพาะเจาะจง เช่น อาการปวดรุนแรงที่เกิดขึ้นในเวลากลางคืน หรืออาการปวดในช่วงเช้า และอาการหลังแข็งขณะตื่นมาในตอนเช้า
การรักษาและการป้องกันอาการปวดหลัง
1. การรักษาอาการปวดหลังจากออฟฟิศซินโดรม
– ปรับพฤติกรรมการทำงานให้ถูกต้อง เช่น นั่งท่าที่ถูกต้องและมีพนักพิง และเปลี่ยนท่าอย่างน้อยทุก 1 ชั่วโมง
– รักษาการนั่งที่เหมาะสม
– ออกกำลังกายที่เหมาะสม เช่น ว่ายน้ำหรือแอโรบิก เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อและความยืดหยุ่นของร่างกาย
– หลีกเลี่ยงการยกของหนักโดยไม่จำเป็น
2. การรักษาอาการปวดหลัง ที่เกิดจากปัญหาหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาท หรือโรคข้ออักเสบรูมาติซึม
– ใช้ยาและการทำกายภาพบำบัด เพื่อลดอาการปวดและเสริมสร้างกล้ามเนื้อ
– พิจารณาการผ่าตัดหากมีการกดทับเส้นประสาท หรือปัญหาหมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาทอย่างชัดเจน
3. การรักษาการติดเชื้อกระดูกสันหลัง
– ให้ยาฆ่าเชื้อหรือยาต้านวัณโรคตามคำแนะนำของแพทย์
– การรักษาโดยการผ่าตัด อาจจำเป็นในกรณีที่มีการกดทับเส้นประสาทหรือเชื้อกินเข้าไปเบียดเส้นประสาท
4. การป้องกันอาการปวดหลัง
– รักษาท่าทางที่ถูกต้อง ขณะทำกิจกรรมที่ต้องใช้พื้นที่ท่ายาก เช่น การยกของหนัก
– การออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อ และรักษาความยืดหยุ่นของร่างกาย
– การเลือกใช้เครื่องนอนและหมอนที่เหมาะสม เพื่อรองรับรูปร่างของร่างกายให้เหมาะสม
การรักษาและการป้องกันอาการปวดหลังนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ เพื่อให้ผู้ที่มีปัญหาด้านหลังสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีและประสบความสุขได้ โดยไม่ต้องประสบกับอาการปวดรบกวนอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม หากมีอาการที่ผิดปกติเพิ่มเติม ควรรีบพบแพทย์ เพื่อการวินิจฉัยและรักษาเพิ่มเติมอย่างทันท่วงที
สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.thairath.co.th/lifestyle/health-and-beauty/2757585