การปฐมพยาบาลเบื้องต้น คือการดูแลผู้ป่วยหรือผู้ได้รับบาดเจ็บในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน อาจะเป็นเพียงสิ่งเดียวที่สามารถช่วยเขาได้ และการปฐมพยาบาลอย่างทันถ้วงทีอาจเป็นเส้นแบ่งระหว่างความเป็นและความตาย ในบทความนี้ Jorportoday จะอธิบายขั้นตอนการปฐมพยาบาลในกรณีฉุกเฉินต่างๆ เพื่อที่คุณสามารถปฐมพยาบาลให้ผู้อื่นได้เช่นกัน
การปฐมพยาบาลเบื้องต้น : First Aid
การปฐมพยาบาลเบื้องต้น หมายถึง การให้ความช่วยเหลือทางการแพทย์แก่ผู้ป่วยหรือผู้บาดเจ็บทันที ณ บริเวณเกิดเหตุ อาจเป็นการใช้ทักษะความรู้เฉพาะทางหรือการตัดสินใจที่เหมาะสมกับสถานการณ์ฉุกเฉิน ในการช่วยเหลืออาจใช้เพียงอุปกรณ์เท่าที่หาได้ในขณะนั้น เพื่อประคับประคองอาการของผู้ป่วยจนกว่าจะได้รับการรักษาจากบุคลากรทางการแพทย์ หรือถูกส่งต่อเพื่อเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน
การตัดสินใจทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นอาจหมายถึงความแตกต่างระหว่างความเป็นและความตาย ผู้ให้การปฐมพยาบาลควรเริ่มต้นด้วยการแนะนำตัวเองกับผู้บาดเจ็บหรือป่วย อธิบายว่าคุณเป็นผู้ให้บริการปฐมพยาบาลและยินดีช่วยเหลือ บุคคลนั้นต้องอนุญาตให้คุณช่วยเหลือพวกเขา อย่าแตะต้องพวกเขาจนกว่าพวกเขาจะตกลงรับความช่วยเหลือ หากคุณพบคนสับสนหรือคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือป่วย คุณสามารถสรุปได้ว่าพวกเขาต้องการให้คุณช่วยพวกเขา สิ่งนี้เรียกว่า “ความยินยอมโดยนัย”
3 ขั้นตอนสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉิน
หากคุณประสบกับสถานการณ์ฉุกเฉิน ให้ทำตามขั้นตอนพื้นฐานสามขั้นตอนเหล่านี้:
1. ตรวจสอบที่เกิดเหตุเพื่อหาอันตราย
มองหาสิ่งใดก็ตามที่อาจเป็นอันตราย เช่น สัญญาณไฟ เศษซากที่อาจตกลงมา หรือผู้คนที่ใช้ความรุนแรง หากประเมินแล้วว่าคุณอยู่ในพื่นที่ที่มีความเสี่ยง ให้ออกจากพื้นที่และขอความช่วยเหลือ
หากที่เกิดเหตุปลอดภัย ให้ประเมินสภาพของผู้ป่วยหรือผู้บาดเจ็บ อย่าเคลื่อนย้ายผู้ได้รับบาดเจ็บเว้นแต่คุณจะต้องทำเพื่อปกป้องพวกเขาจากอันตราย
2. โทรขอความช่วยเหลือทางการแพทย์หากจำเป็น
หากคุณสงสัยว่าผู้ป่วยหรือผู้บาดเจ็บต้องการการรักษาพยาบาลฉุกเฉิน ให้แจ้งบุคคลใกล้เคียง ควรเรียกขอความช่วยเหลือหรือเรียกบริการการแพทย์ฉุกเฉินจากหน่วยงานต่าง ๆ ทันที เช่น ศูนย์เอราวัณ (เฉพาะในพื้นที่ กทม.) โทร. 1646, สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ โทร. 1669 (ทั่วประเทศ)
3. ให้การดูแล
หากคุณสามารถทำได้อย่างปลอดภัย ให้อยู่กับผู้ป่วยหรือผู้บาดเจ็บจนกว่าความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญจะมาถึง ห่มพวกเขาด้วยผ้าห่มอุ่น ๆ ปลอบพวกเขาและพยายามทำให้พวกเขาสงบ หากคุณมีทักษะในการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ให้พยายามรักษาอาการบาดเจ็บที่อาจถึงแก่ชีวิตได้
**ถ้าสถานที่นั้นมีแนวโน้มว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตและสุขภาพความปลอดภัยของตัวคุณเอง ให้หลีกเลี่ยงออกมาเพื่อกันการบาดเจ็บ รอให้ผู้ที่มีเครื่องมือและได้รับการฝึกอบรมอย่างเพียงพอเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์แทน
5 วิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้น
1.การปฐมพยาบาลเบื้องต้นสำหรับแผลไฟไหม้
บาดแผลที่เกิดจากความร้อน เช่น แผลไฟไหม้ แผลไฟฟ้าช็อต ถูกสารเคมีกรดด่าง วัตถุที่ร้อน แผลน้ำร้อนลวก ความรุนแรงของอาการบาดเจ็บจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ระยะเวลาที่ผิวหนังสัมผัสกับความร้อน ขนาดความกว้าง ความลึก และตำแหน่งของบาดแผล
ถ้าอาการเป็นเพียงเล็กน้อยจะค่อยๆ หายได้เอง แต่ถ้าการบาดเจ็บระดับรุนแรง อาจติดเชื้อ และมีภาวะแทรกซ้อนตามมา ซึ่งทำให้พิการหรือเสียชีวิตได้
- ล้างทำความสะอาดแผลด้วยน้ำสะอาดอุณหภูมิปกติ หรือเปิดน้ำให้ไหลผ่าน หรือแช่อวัยวะส่วนที่เป็นแผลลงในน้ำสะอาดประมาณ 15-20 นาที หรือจนกว่าอาการปวดแสบปวดร้อนจะลดลง
- ปิดแผลด้วยผ้าก๊อซหรือผ้าแห้งสะอาด
- ถ้ายังมีอาการปวดแสบปวดร้อนหรืออาการเป็นมากขึ้น ผิวหนังมีรอยถลอก มีตุ่มพองใส หรือมีสีของผิวหนังเปลี่ยนไป ให้รีบนำส่งโรงพยาบาล
ความรุนแรงของการเผาไหม้จะขึ้นอยู่กับความลึก โดยแบ่งได้ 3 ระดับคือ
- แผลไหม้ระดับแรก – First degree burn : มีผลเฉพาะกับผิวหนังชั้นนอกเท่านั้น ทำให้เกิดรอยแดงและบวม ถือว่าเป็นการไหม้เล็กน้อย
- แผลไหม้ระดับที่สอง – Second degree burn : ส่งผลกระทบต่อผิวหนัง 2 ชั้น ทำให้เกิดแผลพุพอง ผื่นแดง และบวม ถือว่าเป็นการไหม้ครั้งใหญ่หากมีความกว้างมากกว่า 3 นิ้วหรือบนใบหน้า มือ เท้า อวัยวะเพศ ก้น หรือเหนือข้อต่อที่สำคัญ
- แผลไหม้ระดับที่สาม – Third degree burn : ผิวหนังจะถูกทำลายตลอดชั้นความหนาของผิวหนัง ซึ่งจะแห้ง แข็ง ไม่มีความยืดหยุ่น เส้นเลือดบริเวณผิวหนังอุดตัน ขนหลุดจากผิวหนัง ไม่มีความรู้สึกเจ็บปวด
หากประเมินว่าเป็นแผลไฟไหม้ระดับ 3 ให้รีบแจ้งโรงพยาบาลเพื่อนำผู้ป่วยไปรักษาทันที
2.การปฐมพยาบาลเบื้องต้น CPR
CPR คือ เทคนิกการปฐมพยาบาลที่สามารถใช้ได้ในกรณีที่มีคนหายใจไม่ปกติหรือหัวใจหยุดเต้น จากสาเหตุต่างๆ เช่น หัวใจวายหรือจมน้ำ หากคุณพบเหตุให้โทรขอความช่วยเหลือได้ที่ สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ โทร. 1669 (ทั่วประเทศ)
หากคุณยังไม่ได้รับการฝึกทำ CPR มาก่อนหรือกังวลเกี่ยวกับการช่วยหายใจ ให้ทำการ CPR ด้วยมือเท่านั้น โดยทำการกดหน้าอกอย่างต่อเนื่อง 100 ถึง 120 ครั้งต่อนาทีจนกว่าแพทย์จะมาถึง
โดยวิธีการทำ CPR มีขั้นตอนดังนี้
- วางมือทั้งสองข้างไว้ตรงกลางหน้าอก โดยวางมือข้างหนึ่งไว้บนอีกข้างหนึ่ง
- กดลงไปตรงๆ เพื่อกดหน้าอกซ้ำๆ ในอัตราประมาณ 100 ถึง 120 ครั้งต่อนาที
- การบีบหน้าอกให้เป็นจังหวะของ “Staying Alive” โดย Bee Gees หรือ “Crazy in Love” ของ Beyoncé สามารถช่วยให้คุณนับได้ในอัตราที่ถูกต้อง
- ดำเนินการกดหน้าอกต่อไปจนกว่าความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญจะมาถึง
คุณสามารถศึกษาเรืองการทำ CPR เพิ่มเติมได้ที่ : CPR คือ ทุกเรื่องควรรู้เกี่ยวกับปฏิบัติการช่วยฟื้นคืนชีพ
3.การปฐมพยาบาลเมื่อถูกผึ้งต่อย
อาการที่ผู้ป่วยถูกผึ้งซึ่งเป็นแมลงที่มีเหล็กในต่อย หรืออาจฝังเหล็กในลงบนผิวหนัง คล้ายถูกเข็มแทง รู้สึกปวด ร้อน หรือคันบริเวณที่ถูกต่อยหากมีอาการแพ้ผึ้งต่อยจะเป็นตุ่มบวมขึ้น โดยมีจุดสีแดงอยู่ตรงกลาง ซึ่งอาการผึ้งต่อยจะค่อย ๆ ดีขึ้น และค่อย ๆ หายไปภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
การรักษาอาการผึ้งต่อย
- หากเหล็กในอยู่ในตำแหน่งที่มองเห็นได้ชัด ผู้ป่วยควรพยายามบีบผิวโดยรอบเพื่อดันเหล็กในออกมาให้เร็วที่สุด
- ล้างทำความสะอาดผิวบริเวณที่ถูกผึ้งต่อยด้วยสบู่และน้ำสะอาด
- ใช้น้ำแข็งหรือผ้าเย็นวางประคบในบริเวณที่ถูกผึ้งต่อย
- หากถูกผึ้งต่อยบริเวณแขนหรือขา ให้ยกแขนหรือขาขึ้น หรือวางแขนขาไว้บนระดับที่สูงกว่าปกติ
- บรรเทาอาการปวดด้วยการรับประทานยาแก้ปวดที่หาซื้อได้ตามร้านขายยา เช่น พาราเซตามอล ไอบูโพรเฟน แอสไพริน ( ห้ามใช้แอสไพรินในผู้ป่วยที่มีอายุต่ำกว่า 19 ปีเด็ดขาด )
ทายาไฮโดรคอร์ติโซน ( Hydrocortisone ) คาลาไมน์ ( Calamine ) ผสมเบกกิ้งโซดากับน้ำเปล่า หรือรั - ประทานยาต้านฮิสตามีน (Antihistamine) เช่น ไดเฟนไฮดรามีน ( Diphenhydramine ) หรือ คลอร์เฟนิรามีน ( Chlorpheniramine ) เพื่ออรักษาอาการที่เกิดบนผิวหนัง ลดอาการบวมแดงและอาการคัน
- ผู้ที่มีอาการรุนแรง ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาทันที
4.การปฐมพยาบาลเบื้องต้นสำหรับอาการสำลัก
การสำลักเกิดจากสิ่งแปลกปลอมเข้าไปติดค้างอยู่ในลำคอหรือกีดขวางหลอดลม สังเกตเห็นได้จากอาการบางอย่าง เช่น เล็บ ริมฝีปาก และผิวหนังของผู้ป่วยคล้ำหรือเปลี่ยนเป็นสีเขียว พูดไม่มีเสียงหายใจลำบาก หายใจเสียงดัง ไม่สามารถไอแรงๆ หรือหมดสติ การปฐมพยาบาลเบื้องต้นควรทำโดยทันที เนื่องจากการสำลักจะทำให้สมองขาดออกซิเจน โดยปฏิบัติดังนี้
- ตบหลัง 5 ครั้ง ระหว่างกระดูกสะบักของผู้ป่วยด้วยส้นมือ โดยผู้ช่วยเหลือควรเรียนเทคนิคการตบหลังก่อนการช่วยเหลือ ไม่เช่นนั้นให้ใช้วิธีการกดกระแทกที่ท้องแทน หรือจะทำ 2 วิธีสลับกันก็ได้
- กดกระแทกที่ท้อง 5 ครั้ง ควรทำก่อนการขอความช่วยเหลือ โดยให้ยืนข้างหลัง เอาแขนรัดรอบเอว แล้วโน้มตัวผู้ป่วยไปด้านหน้าเล็กน้อย กำหมัดแล้ววางไว้ตรงสะดือของผู้ป่วย จากนั้นใช้มืออีกข้างจับที่หมัด แล้วกดลงแรงและเร็วที่ท้องของผู้ป่วย ให้เหมือนกับกำลังพยายามยกตัวผู้ป่วยขึ้น วิธีนี้สามารถทำซ้ำจนกว่าสิ่งแปลกปลอมจะหลุดออกมา และสามารถใช้ได้กับเด็กที่มีอายุมากกว่า 1 ปีและผู้ใหญ่
- ในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นทารกที่อายุต่ำกว่า 1 ปี ให้ผู้ช่วยเหลือวางท้องแขนลงบนหน้าตัก จับผู้ป่วยอยู่ในท่านั่ง แล้ววางใบหน้าของผู้ป่วยลงบนท้องแขน จากนั้นค่อย ๆ ทุบลงกลางหลังให้แรงมากพอจะทำให้สิ่งแปลกปลอมหลุดออกมาได้
- หากยังไม่ได้ผลให้ใช้ 2 นิ้ววางตรงกลางกระดูกหน้าอก และปั๊มหัวใจ 5 รอบแบบเร็วๆ ทำซ้ำจนกว่าสิ่งแปลกปลอมจะหลุดออกมา ในกรณีที่ไม่มีสิ่งแปลกปลอมขวางทางเดินหายใจ หากทารกหยุดหายใจ ให้รีบติดต่อขอความช่วยเหลือแล้วจึงทำ CPR
5.การปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อสงสัยว่ากระดูกหัก
สำหรับการเกิดอุบัติเหตุที่ได้รับการบาดเจ็บที่ แขน ขา มือ และเท้า ผู้ป่วยต้องได้รับการปฏิบัติเหมือนกระดูกหักจนกว่าเอ็กซ์เรย์จะยืนยันได้ว่ากระดูกหักหรือไม่ สำหรับอาการกระดูกหักสุดท้ายแล้วจะต้องไปรักษาพยาบาล แต่อย่างไรก็ตามก็ไม่จำเป็นต้องไปโรงพยาบาลเสมือนเหตุฉุกเฉิน โดยคุณสามารถปฐมพยาบาลเบื้องต้นได้ดังนี้
- ไม่เคลื่อนย้ายผู้ป่วยในกรณีที่สงสัยว่ากระดูกหลัง สะโพก หรือขาหัก ควรโทรเรียกรถพยาบาลหรือเจ้าหน้าที่ฉุกเฉินมาช่วยเหลือ
- ห้ามจัด ดัด หรือดึงกระดูกให้กลับเข้าที่เองโดยเด็ดขาด เพราะอาจเกิดการบาดเจ็บมากกว่าเดิมได้
- หาวัสดุที่แข็งแรง เช่น ไม้ มาดามส่วนที่หักไว้ก่อน เพื่อลดการเคลื่อนไหวของกระดูกที่หัก
- หากมีเลือดออกให้ใช้ผ้าสะอาดกดแผลเพื่อห้ามเลือด
- ใช้น้ำแข็งหรือเจลประคบเย็นประคบบริเวณที่กระดูกหัก เพื่อลดอาการบวมและหยุดเลือด
- งดให้ผู้ป่วยดื่มน้ำหรือรับประทานอาหาร เผื่อจำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัด
อาการกระดูกหักส่วนมากมักจะไม่รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต แต่อาจมีผลทำให้พิการถาวรได้หากปฏิบัติตัวไม่ถูกต้องหรือได้รับการรักษาไม่ถูกวิธี
สรุป
การปฐมพยาบาลเบื้องต้น คือการดูแลผู้ป่วยหรือผู้บาดเจ็บที่เผชิญกับวิกฤต การเรียนรู้พื้นฐานของการปฐมพยาบาลจะช่วยให้คุณรู้สึกพร้อมมากขึ้นในกรณีฉุกเฉิน การอ่านบทความช่วยให้คุณได้ข้อมูลแต่การเลือกพิจารณาเข้ารับการฝึกอบรมการปฐมพยาบาล ถือเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเตรียมตัวสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉิน