โรคริดสีดวงเป็นหนึ่งในโรคที่พบได้บ่อยในปัจจุบัน เกิดขึ้นจากการขยายขนาดของเส้นเลือดดำรอบบริเวณทวารหนัก ซึ่งมักเกิดจากพฤติกรรมและลักษณะการขับถ่ายที่ผิดปกติ เช่น เบ่งอุจจาระนานเกินไป นั่งถ่ายอุจจาระนาน การบริโภคอาหารที่มีกากใยน้อย การมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก หรือสถานะที่เสี่ยง เช่น การตั้งครรภ์ หรืออายุที่เพิ่มมากขึ้น ที่สำคัญคือ โรคนี้สามารถป้องกันได้ด้วยการรักษาพฤติกรรมที่ดีและการเลือกทานอาหารที่เหมาะสม
สัญญาณและอาการของโรคริดสีดวง
1. ระยะที่ 1
– เริ่มมีเส้นเลือดดำโป่งพองบริเวณรอบทวารหนัก
– มีการออกเลือดร่วมกับอุจจาระในบางกรณี
2. ระยะที่ 2
– เจ็บปวดบริเวณทวารหนักมากขึ้น
– ริดสีดวงเริ่มออกมานอกทวารหนัก และสามารถกลับเข้าไปได้
3. ระยะที่ 3
– ริดสีดวงจะออกมามากขึ้น เมื่อมีการเบ่งอุจจาระ ไอ จาม หรือทำกิจกรรมต่างๆ
– ไม่สามารถกลับเข้าไปได้โดยอัตโนมัติ ต้องใช้นิ้วมือในการดัน
4. ระยะที่ 4
– อาการรุนแรงมากขึ้น บริเวณทวารหนักอาจบวมแดง และอักเสบ
– ริดสีดวงจะออกมาอย่างถาวร และอาจมีเลือดร่วมด้วย
หากพบว่ามีสัญญาณหรืออาการของโรคริดสีดวง ควรรีบพบแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ เพื่อให้ได้การวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม การรักษาสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การเปลี่ยนพฤติกรรมการขับถ่าย การใช้ยา หรือกระบวนการผ่าตัด การป้องกันโรคริดสีดวงโดยการรักษาพฤติกรรมการขับถ่ายที่สม่ำเสมอ รวมถึงการรับประทานอาหารที่มีใยอาหารเพียงพอ เพื่อลดความดันที่บริเวณทวารหนัก
การรักษาและการป้องกันโรคริดสีดวง เพื่อประโยชน์ในด้านสุขภาพที่ดี
ริดสีดวงมักจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภท
1. ริดสีดวงภายใน หมายถึง การเกิดของริดสีดวงภายในช่องทวาร ซึ่งอาจเป็นระยะแรกๆ ของโรคและมักไม่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดมากนัก แม้ว่าอาการจะไม่รุนแรงนัก การตรวจสุขภาพเมื่อพบอาการเข้าข่ายนี้ก็ควรไม่ละเลย
2. ริดสีดวงภายนอก หมายถึง การมีติ่งก้อนเนื้อของริดสีดวงที่บุ๋มออกนอกจากช่องทวาร ซึ่งสามารถทำให้เกิดความเจ็บปวด และส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของผู้ป่วยได้
การป้องกันการเกิดโรคริดสีดวงทวารเริ่มต้นได้ที่ตนเอง โดยมีวิธีการป้องกันที่สามารถนำมาปฏิบัติได้ง่ายๆ ดังนี้
– การเปลี่ยนท่านั่งและการเดิน ควรพยายามสลับท่านั่งและการเดินอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดการบีบตัวของลำไส้
– การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ห้องน้ำ ฝึกให้มีนิสัยในการเข้าห้องน้ำในเวลาและท่าทีที่เหมาะสม
– การบริโภคอาหารที่มีไฟเบอร์สูง เช่น กล้วยน้ำว้า มะขาม ส้ม หรือมะละกอ เพื่อช่วยกระตุ้นระบบขับถ่าย
– การดื่มน้ำเพียงพอ อย่างน้อย 6-8 แก้วต่อวัน เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดอาการท้องผูก
– การหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสจัด ย่อยยาก และอาหารทะเลหรืออาหารแปรรูป
– การรักษาสุขอนามัยโดยสม่ำเสมอ
สำหรับผู้ที่มีอาการเข้าข่ายของโรคริดสีดวง แนะนำให้ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ เพื่อรับคำปรึกษาและการรักษาที่เหมาะสม ซึ่งวิธีการรักษาที่ถูกต้องและรวดเร็วจะช่วยลดอาการเจ็บได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น ควรระมัดระวังและรับรู้อาการไวๆ เพื่อการรักษาที่เหมาะสมและรวดเร็วยิ่งขึ้น โรคริดสีดวงอาจจะไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอย่างที่คิด เนื่องจากมีวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพในปัจจุบัน
สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.thairath.co.th/lifestyle/health-and-beauty/2715934