โรคพาร์กินสัน เกิดจากความเสื่อมของสมองอย่างช้าๆ ทำให้สารสื่อประสาทโดปามีน (Dopamine) ในสมองลดลง ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย การลดลงของสารสื่อประสาทนี้ ส่งผลให้เกิดอาการต่างๆ เช่น การเคลื่อนไหวช้า อาการสั่น และอาการแข็งเกร็ง รวมถึงมีปัญหาในการทรงตัวด้วย
กลุ่มเสี่ยงที่เป็นโรคพาร์กินสัน
1. ผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุเฉลี่ย 60-65 ปี และผู้ชายมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้มากกว่า 1.5 เท่า
2. ผู้มีประวัติครอบครัวเป็นโรคพาร์กินสัน เนื่องจากโรคนี้สามารถถ่ายทอดได้ทางพันธุกรรม
3. ผู้ที่สัมผัสกับสารเคมี เช่น ยาฆ่าแมลง หรือยาฆ่าวัชพืชอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน
โรคพาร์กินสันเป็นโรคเรื้อรังที่มีอาการเกิดขึ้นที่ระบบประสาท
โดยทั่วไปแล้ว ผู้ป่วยแต่ละรายจะมีอาการแสดงต่างกันไปตามปัจจัยหลายๆ ด้าน เช่น อายุของผู้ป่วย ระยะเวลาที่เป็นโรค และภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น ซึ่งอาการที่เกิดขึ้นสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่
1. อาการที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหว
– อาการสั่น เป็นอาการเริ่มต้นของโรคที่พบมากที่มือและเท้า ซึ่งอาการสั่นอาจเป็นรุนแรงมาก เมื่ออยู่นิ่งหรือขณะพัก
– อาการเกร็ง เป็นปัญหาที่เกิดจากกล้ามเนื้อที่เกร็งขึ้น ทำให้การเคลื่อนไหวของผู้ป่วยมีความยากลำบาก
– เคลื่อนไหวช้า ผู้ป่วยมีการเคลื่อนไหวช้าลง ขาดความกระฉับกระเฉงในการเคลื่อนไหว
– ปัญหาการทรงตัว ผู้ป่วยมีปัญหาในการทรงตัว ทำให้มีความเสี่ยงในการหกล้มได้ง่าย
2. อาการที่ไม่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหว
– อาการทางจิต บางรายอาจมีอาการซึมเศร้า วิตกกังวล หรือโมโหร้าย
– ปัญหาเรื่องการรับกลิ่น บางรายอาจมีปัญหาในการรับรสชาติหรือกลิ่น
– อาการทางระบบย่อยอาหาร อาจมีอาการท้องผูก หรือเวียนศีรษะ
– ปัญหาการนอน อาจเป็นการตื่นขึ้นในเวลากลางคืน หรือมีปัญหาในการหลับในตอนกลางวัน เนื่องจากการทำงานผิดปกติของระบบประสาท
การรักษาโรคพาร์กินสัน มักจะเน้นการบำบัดทางกายภาพ การใช้ยา และการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดูแลสุขภาพทั่วไป เพื่อช่วยบรรเทาอาการและป้องกันการแทรกซ้อนของโรค เมื่อมีการพบอาการข้างต้น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง และหากมีปัญหาในการรับรู้หรืออาการที่รุนแรงขึ้น ควรรีบพบแพทย์โดยเร็ว
สามารถติดตามต่อได้ที่ : https://www.thairath.co.th/lifestyle/lifestyle45plus/2717756