เสียงเป็นสิ่งที่เราใช้ในการสื่อสาร ทำให้เข้าใจตรงกัน แต่หากเสียงมีระดับที่ดังเกินไป ก็ส่งผลเสียต่อสุขภาพของผู้สัมผัสได้ จึงจำเป็นต้องมีการจัดทำและกำหนดมาตรการในการป้องกันการสูญเสียการได้ยินของผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งในอดีตในทางกฎหมายใช้คำว่า
” ทำความเข้าใจกันก่อน… เดิมเรามักจะคุ้นชินคำว่าให้นายจ้างจัดทำโครงการอนุรักษ์การได้ยินในสถานประกอบกิจการ” แต่ปัจจุบัน เปลี่ยนมาใช้คำว่า “ ให้นายจ้างจัดให้มีมาตรการอนุรักษ์การได้ยินในสถานประกอบกิจการ อยากจะเรียกอะไรก็ไม่ผิด เพราะบริบท ความหมายเดียวกัน”
กฎหมายที่เกี่ยวกับการจัดทำมาตรการอนุรักษ์การได้ยิน
กฎกระทรวง กำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และ สภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับความร้อน แสงสว่าง และเสียง พ.ศ. 2559 หมวด 3 เสียงกำหนดรายละเอียดต่อไปนี้
ข้อ 7 นายจ้างต้องควบคุมระดับเสียงมิให้ลูกจ้างได้รับสัมผัสเสียงในบริเวณสถานประกอบกิจการที่มีระดับ
เสียงสูงสุด (peak sound pressure level) ของเสียงกระทบหรือเสียงกระแทก (impact or impulse noise) เกิน 140 เดซิเบลเอ หรือได้รับสัมผัสเสียงที่มีระดับเสียงดังต่อเนื่องแบบคงที่ (continuous steady noise) เกินกว่า 115 เดซิเบลเอ
ข้อ 8 นายจ้างต้องควบคุมระดับเสียงที่ลูกจ้างได้รับเฉลี่ยตลอดเวลาการทำงานในแต่ละวัน (Time Weighted Average – TWA) ไม่ให้เกินมาตรฐานที่กำหนด
ซึ่งมาตรฐานระดับเสียงที่กำหนดให้ดูจาก ประกาศกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เรื่อง มาตรฐานระดับเสียงที่ยอมให้ลูกจ้างได้รับเฉลี่ยตลอดระยะเวลาการทำงานในแต่ละวัน ประกาศในราชกิจนุเบกษา เมื่อ 26 มกราคม 2561
ข้อ 11 ในกรณีที่สภาวะการทำงานในสถานประกอบกิจการมีระดับเสียงที่ลูกจ้างได้รับเฉลี่ยตลอดระยะเวลาการทำงาน 8 ชั่วโมงตั้งแต่ 85 เดซิเบลเอขึ้นไปให้นายจ้างจัดให้มีมาตรการอนุรักษ์การได้ยินในสถานประกอบกิจการ
มาตรฐานสากล OSHA โครงการอนุรักษ์การได้ยิน
OSHA standards or the Occupational Safety and Health Act of 1970. OSHA ได้มีความตระหนักถึงปัญหาเสียงดังที่ไม่ต้องการของผู้ปฏิบัติงานซึ่งปัญหาดังกล่าวสร้างอันตรายและโรคจากการทำงานให้ชาวอเมริกันในวงกว้างดังนั้น OSHA จึงได้กำหนดมาตรการด้าน อาชีวอนามัย และ ความปลอดภัย พัฒนามาตรฐานโครงการอนุรักษ์การได้ยิน (Hearing Conservation Standard) 29 CFR 1910.95, ออกแบบมาเพื่อปกป้องผู้ปฏิบัติงานกับเสียงดังที่เป็นอันตราย
OSHA กำหนดให้นายจ้างจัดทำโครงการอนุรักษ์การได้ยิน เมื่อระดับเสียงที่สัมผัส 8 ชั่วโมงการทำงาน ตั้งแต่ 85 เดซิเบลขึ้นไป
ขั้นตอนการดำเนินงานโครงการอนุรักษ์การได้ยินของ OSHA
- ดำเนินการวางแผนตรวจสอบเสียงดังหรือเสียงรบกวนที่พนักงานรับสัมผัส
- ออกประกาศนโยบายความมุ่งมั่นเป็นลายลักษณ์อักษร
- ดำเนินการควบคุมเสียงรบกวนทางด้านวิศวกรรมที่มีประสิทธิภาพเพื่อกำจัด หรือ ลดเสียงดังที่เป็นอันตราย
- สนับสนุนอุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล PPE ให้กับผู้ปฏิบัติงาน
- จัดฝึกอบรมให้ผู้ปฏิบัติงานมีความรู้เกี่ยวกับอันตรายจากเสียงดัง วิธีการปฏิบัติงาน และ การใช้ PPE ที่เหมาะสมกับลักษณะงาน
ทำไมต้องจัดทำมาตรการอนุรักษ์การได้ยิน
เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ปฏิบัติงานได้รับผลกระทบจากเสียงดังที่เป็นอันตรายสิ่งเหล่านี้ส่งผลทางตรงกับประสิทธิภาพการทำงาน และ ผลผลิตขององค์กร รวมไปถึงค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลกรณีเกิดการเจ็บป่วยจากการทำงานที่มีเสียงดัง
การจัดให้มีมาตรการอนุรักษ์การได้ยินในสถานประกอบกิจการเป็นการปฏิบัติตามกฎหมาย ข้อ 11 ของกฎกระทรวง กำหนดมาตรฐานในการบริหาร จัดการ และ ดำเนินการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับความร้อน แสงสว่าง และเสียง พ.ศ. 2559 หมวด 3 เสียง ถือเป็นความรับผิดชอบที่นายจ้างจะต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัดตามกฎหมายของประเทศไทย
ขั้นตอนการจัดทำมาตรการอนุรักษ์การได้ยิน
วิธีการจัดทำมาตรการอนุรักษ์การได้ยินถูกกำหนดโดยประกาศกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานเรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำมาตรการอนุรักษ์การได้ยินในสถานประกอบกิจการโดยกำหนดวิธีไว้ดังนี้
-
มาตรการอนุรักษ์การได้ยินในสถานประกอบกิจการต้องเป็นลายลักษณ์อักษร และอย่างน้อยต้องมีรายละเอียดเกี่ยวกับรายการ ดังนี้
- นโยบายการอนุรักษ์การได้ยิน
- การเฝ้าระวังเสียงดัง (Noise Monitoring)
- การเฝ้าระวังการได้ยิน (Hearing Monitoring)
- หน้าที่ความรับผิดชอบของผู้ที่เกี่ยวข้อง
- เมื่อมีการจัดทำแล้ว นายจ้างต้องประกาศมาตรการอนุรักษ์การได้ยินให้ลูกจ้างทราบ
-
จัดให้มีการเฝ้าระวังเสียงดัง โดยการสำรวจและตรวจวัดระดับเสียง การศึกษาระยะเวลาการสัมผัสเสียงดัง และ ประเมินการสัมผัสเสียงดังของลูกจ้าง แล้วแจ้งผลให้ลูกจ้างทราบ
-
จัดให้มีการเฝ้าระวังการได้ยินเสียงโดยดำเนินการ ดังนี้
- ทดสอบสมรรถภาพการได้ยิน (Audiometric sting) แก่ลูกจ้างที่สัมผัสเสียงดังที่ได้รับเฉลี่ยตลอดระยะเวลาการทำงาน 8 ชั่วโมง ตั้งแต่ 85 เดซิเบลเอขึ้นไป และต้องทดสอบอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
- เมื่อทราบผลการตรวจสมรรถภาพการได้ยินแล้ว ให้แจ้งลูกจ้างภายใน 7 วัน
- กรณีที่พบว่าลูกจ้างสูญเสียการได้ยินที่หูข้างใดข้างหนึ่ง ตั้งแต่ 15 เดซิเบลขึ้นไปที่ความถี่ใดความถี่หนึ่งให้ทดสอบสมรรถภาพการได้ยินซ้ำอีกครั้งภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ทราบผล
- นำผลการทดสอบสมรรถภาพการได้ยินครั้งต่อไปเปรียบเทียบกับผลการทดสอบสมรรถภาพการได้ยินเป็นข้อมูลพื้นฐานทุกครั้ง
-
หากพบว่าลูกจ้างสูญเสียการได้ยินที่หูข้างใดข้างหนึ่ง ตั้งแต่ 15 เดซิเบล ต้องมีมาตรการอย่างใดอย่างหนึ่งดังนี้
- ให้ลูกจ้างสวมใส่ PPE ที่สามารถลดระดับเสียงตลอดเวลาทำงาน 8 ชั่วโมง ให้น้อยกว่า 85 เดซิเบลเอ
- เปลี่ยนงาน สลับหมุนเวียนหน้าที่ เพื่อให้ระดับเสียงตลอดเวลาทำงาน 8 ชั่วโมง ให้น้อยกว่า 85 เดซิเบลเอ
-
จัดทำและติดแผนผังแสดงระดับเสียง (Noise Contour Map) ป้ายบอกระดับเสียงและเตือนอันตรายจากเสียงดัง รวมถึงป้ายเตือนให้ใช้ PPE
-
อบรมให้ความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับมาตรการอนุรักษ์การได้ยิน
ความสำคัญของการทดสอบสมรรถภาพการได้ยินอันตรายของเสียงดัง การควบคุม ป้องกัน และการใช้ PPE ให้กับลูกจ้างที่ทำงานในพื้นที่ที่มีเสียงดังเกิน 85 เดซิเบลเอ ต้องประเมินผลและทบทวนการจัดการมาตรการอนุรักษ์การได้ยินไม่น้อยกว่าปีละ 1 ครั้งและต้องเก็บหลักฐานการจัดทำมาตรการอนุรักษ์การได้ยินไว้ไม่น้อยกว่า 5 ปี
หากต้องการศึกษาการจัดทำอย่างละเอียดสามารถดูได้จากประกาศกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานเรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการจัดทำมาตรการอนุรักษ์การได้ยินในสถานประกอบกิจการ
เสียงดังส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างไร
เสียงที่ดังเกินไปไม่เพียงแต่สร้างความรำคาญแต่ยังส่งผลกระทบต่อส่วนต่างๆของร่างกายจนอาจทำให้สูญเสียการได้ยินหรือเสี่ยงต่อโรคร้ายแรงบางชนิดได้โดยผลกระทบจากเสียงดังที่อาจเกิดขึ้นกับสุขภาพมีดังนี้
- ผลกระทบต่อการได้ยิน : ในหูของคนเรามีเส้นขนจำนวนมากทำหน้าที่รับเสียงและแปลงสัญญาณไฟฟ้าส่งไปยังสมอง ซึ่งเสียงที่ดังเกินไปจะทำให้เส้นขนได้รับความเสียหาย จึงทำให้มีปัญหาทางการได้ยิน และการได้ยินเสียงดังติดต่อกันเป็นเวลานานยังอาจทำให้เกิดโรคประสาทหูเสื่อมจากการทำงาน หรือถึงขั้นหูหนวกได้
- ผลกระทบต่อการนอน : เสียงที่ดังเกินไปจะกระตุ้นสมองให้ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา จึงรู้สึกไม่ผ่อนคลายจนอาจทำให้นอนไม่หลับ และการพักผ่อนไม่เพียงพอติดต่อกันเป็นเวลานาน ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน หรือโรคหัวใจ เป็นต้น
- ผลกระทบต่อภูมคุ้มกัน : เสียงที่ดังเกินไปส่งผลให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกมา ซึ่งฮอร์โมนประเภทนี้จะทำให้ระดับภูมิคุ้มกันร่างกายต่ำลง
- ผลกระทบต่อสมาธิและอารมณ์ความรู้สึก : หากต้องอยู่ในที่ที่มีเสียงรบกวนอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อการใช้สมาธิหรืออารมณ์ความรู้สึกได้ หากต้องทำงานในที่ที่มีเสียงดังตลอดเวลา ส่งผลให้การใช้สมาธิไม่เต็มที่และไม่มีความสุขในการทำงาน
- ผลกระทบต่อสมอง : เสียงที่ดังเกินไปจะทำลายปลายประสาทที่ส่งสัญญาณไฟฟ้าจากเซลล์รับเสียงภายในหูไปสู่สมอง เกิดความเสียหายจนอาจทำให้สมองเกิดการอักเสบ และการสูญเสียการได้ยินจากเสียงที่ดังเกินไป อาจนำไปสู่โรคสมองเสื่อมได้
มาตรการการป้องกันอันตรายจากเสียงดัง
การป้องกันอันตรายจากเสียงดังโดยทั่วไปมีอยู่ 3 วิธีด้วยกัน ดังรายละเอียดต่อไปนี้
การควบคุมที่แหล่งกำเนิดของอันตราย (Source) โดยใช้วิธีการทางด้านวิศวกรรม เช่น
- การเลือกเครื่องมือ เครื่องจักร ที่มีเสียงรบกวนต่ำ
- บำรุงรักษาและหล่อลื่นเครื่องจักรและอุปกรณ์ เช่น ตลับลูกปืน
- การใช้แผ่นดูดซับเสียง
- ปิดหรือแยกแหล่งกำเนิดเสียง
การควบคุมที่ทางผ่าน (Path) โดยใช้วิธีการบริหารจัดการ
- จำกัดระยะเวลาในการรับสัมผัสเสียง
- จัดให้มีพื้นที่เงียบ เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานได้พักจากอันตรายจากเสียงดัง เช่น ห้องเก็บเสียง
- กำหนดระยะทางระหว่างผู้ปฏิบัติงานกับแหล่งกำเนิดเสียงที่เหมาะสม
การควบคุมการรับสัมผัสเสียงโดยการกำหนดระยะห่างเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพซึ่งวิธีนี้จะใช้ได้เมื่อมีผู้ปฏิบัติงานอยู่แต่ไม่สามารถใช้ได้กับแหล่งกำเนิดเสียงหรืออุปกรณ์การเพิ่มระยะห่างระหว่างแหล่งกำเนิดเสียงกับผู้ปฏิบัติงานสามารถลดการรับสัมผัสเสียงดังได้
การควบคุมที่ตัวผู้ปฏิบัติงาน (Receivers) โดยการใช้อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล
- ให้ผู้ปฏิบัติงานสวมใส่ PPE ที่อุดหูหรือที่ครอบหูลดเสียง
- อบรมให้ความรู้
- ทำงานอย่างระมัดระวังไม่เข้าไปในที่ที่มีเสียงดัง
การควบคุมที่ตัวบุคคลนั้นถือเป็นตัวเลือกที่ยอมรับได้แต่ไม่มีประสิทธิภาพมากเท่ากับวิธีป้องกันทางวิศวกรรม สถานประกอบการส่วนใหญ่นิยมวิธีป้องกันที่ตัวบุคคลเนื่องจากประหยัด ง่าย และ สะดวก
สรุป
การจัดทำมาตรการอนุรักษ์การได้ยินมีการกำหนดวิธีการเอาไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้นายจ้างสามารถทำได้อย่างถูกต้อง เกิดความปลอดภัยกับผู้ปฏิบัติงานอย่างสูงสุด เป็นการป้องกันการสูญเสียสมรรถภาพการได้ยิน โรคจากการทำงาน และ ให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถป้องกันตนเองจากอันตรายจากเสียงดังได้อย่างถูกต้อง